เทพนิยายยุโรป : สโนวไวท์

บัวหิมะ หรือ หิมะขาว
(
อฤ. สโนว์ไวต์)

ขณะเกล็ดสีขาวของหิมะกำลังโปรยปรายอยู่ทั่วไปนั้น มันอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว ซึ่งในขณะนั้น ยังมีราชินีองค์หนึ่งนั่งทำงานอยู่ที่หน้าต่าง ซึ่งขอบของมันทำด้วยไม้มะเกลือสีดำ และขณะที่พระองค์กำลังมองออกไปที่หิมะ พระองค์ก็ทำเข็มทิ่มนิ้วของตนเอง เลือดสีแดงจึงหยดลงไป ๓ หยด หลังจากนั้นพระองค์ก็จ้องตรงไปที่หยดเลือดสีแดงที่พรมลงไปบนหิมะสีขาว แล้วกล่าวว่า “อยากให้ลูกสาวน้อยๆของฉันมีผิวขาวสะอาดเหมือนกับหิมะนั้น แก้มแดงเหมือนกับสีเลือด และผมดำเหมือนกับกรอบหน้าต่างไม้มะเกลือ!” ดังนั้นเมื่อเด็กหญิงเล็กๆเติบโตขึ้น ผิวของเธอจึงขาวเหมือนหิมะ แก้มของเธอเป็นสีชมพูดุจดังสีเลือด และผมของเธอก็ดำเหมือนไม้มะเกลือ แล้วเธอก็ถูกเรียกว่า บัวหิมะ (หรือบางคนเรียกว่า หิมะขาว)
แต่ราชินีองค์นี้ได้สวรรคตลงแล้ว ไม่นานราชาก็อภิเษกสมรส มีมเหสีอีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่งดงาม แต่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งยโส ซึ่งพระองค์มีความคิดว่าจะมีใครเกินหน้าเกินตาตนเองไม่ได้ ราชินีองค์ใหม่นี้มีกระจกวิเศษอยู่บานหนึ่ง ซึ่งพระองค์มักจะไปจ้องดูตัวเองแล้วเอ่ยถาม
“กระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าทีเถิด! ว่าหญิงใดงามเลิศในปฐพี?”
            แล้วกระจกก็ตอบว่า
“พระราชินี ท่านคือหญิงผู้ที่งามเลิศในปฐพี”


แต่หิมะขาว (อฤ. สโนว์ไวต์) มีความงดงามมากขึ้นมากขึ้นทุกที และเมื่อเธออายุได้ ๑๗ ปี เธอก็สว่างไสวประดุจกลางวันและงดงามกว่าตัวราชินีเอง ดังนั้นเมื่อราชินีไปปรึกษากระจกเช่นเคย วันหนึ่งกระจกจึงตอบราชินีว่า
“พระราชินีท่านอาจจะเป็นผู้ที่สดใสและงดงาม แต่ หิมะขาว เป็นผู้ที่น่ารักมากกว่าท่าน!


            เมื่อพระองค์ได้ยินดังนี้ พระองค์ก็หน้าซีดด้วยความเดือดดาดและความอิจฉาริษยา จึงร้องเรียกทหารรับใช้ของพระองค์เข้ามาคนหนึ่งแล้วสั่งว่า “จงพา หิมะขาวไปกำจัดเสียในป่ากว้าง เพราะข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเธออีกต่อไป”
ดังนั้นทหารรับใช้จึงพาเธอไป แต่เขาก็รู้สึกใจอ่อนเมื่อเธอขอร้องให้เขาไว้ชีวิตของเธอ เขาจึงกล่าวว่า “ฉันจะไม่ทำร้ายเธอหรอก เด็กน้อยที่น่ารัก” แล้วเขาก็ทิ้งให้เธออยู่คนเดียว แม้เขาจะคิดว่าสัตว์ป่าจะฉีกเธอออกเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน แต่เขารู้สึกเหมือนกับน้ำหนักอันใหญ่หลวงได้ถูกนำออกไปจากใจของเขา เมื่อเขาได้ตัดสินใจว่าจะไม่ฆ่าเธอ แต่ได้ปล่อยให้เธอขึ้นยู่กับโชคชะตาของเธอเอง
หลังจากนั้น หิมะขาว ผู้น่าสงสารก็เตร็ดเตร่ไปท่ามกลางป่าใหญ่ด้วยความหวาดกลัว สัตว์ป่าแผดเสียงอยู่รอบๆตัวเธอ แต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายเธอเลยแม้แต่น้อย ในตอนเย็นเธอก็มาถึงกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง และได้เข้าไปในนั้นเพื่อที่จะพักผ่อน เพราะเท้าน้อยๆของเธอไม่สามารถพาเธอไปได้อีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในกระท่อมทำด้วยไม้สนอย่างเรียบร้อย ได้สัดส่วน บนโต๊ะปูด้วยผ้าสีขาวและมีจานเล็กๆอยู่ ๗ ใบ ขนมปังก้อนเล็กๆ ๗ ก้อน และแก้วเล็กๆที่มีเหล้าองุ่นอยู่ ๗ ใบ แล้วก็มีมีดและส้อมวางไว้อย่างถูกต้องตามลำดับ ที่ข้างฝามีเตียงเล็กๆตั้งอยู่ ๗ เตียง ดังนั้นด้วยความรู้สึกหิวเหลือเกิน เธอจึงหยิบเอาขนมปังชิ้นเล็กๆก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วดื่มเหล้าองุ่นแก้วเล็กๆแต่ละแก้วจนหมด เธอจึงทดลองนอนบนเตียงเล็กๆทั้ง ๗ เตียง เตียงหนึ่งยาวเกินไป และเตียงอื่นๆก็สั้นเกินไป จนกระทั่งเตียงที่ ๗ จึงพอดีกับเธอ แล้วเธอก็นอนลงที่นั่นจนหลับไป

ในไม่ช้าเจ้าของกระท่อมซึ่งเป็นคนแคระเล็กๆที่อาศัยอยู่ท่ามกลางหุบเขา และค้นหาทองคำก็เข้ามา พวกเขาจุดตะเกียงทั้งเจ็ดของตน แล้วทันใดนั้นก็เห็นว่าทุกสิ่งผิดปกติไป
คนแรกกล่าวขึ้นว่า “ใครนั่งลงบนม้านั่งของฉัน”
คนที่ ๒ กล่าวว่า “ใครกินอาหารในจานของฉันจนหมด?”
คนที่ ๓ “ใครหยิบขนมปังของฉันไป?”
คนที่ ๔ “ใครมายุ่งกับช้อนของฉัน?”
คนที่ ๕ “ใครมาจับส้อมของฉัน?”
คนที่ ๖ “ใครใช้มีดของฉัน?”
คนที่ ๗ “ใครมานอนบนเตียงของฉันน่ะ?”
แล้วคนอื่นๆที่เหลือก็วิ่งเข้ามา แล้วทุกคนก็ร้องออกมาว่ามีใครคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงของตน แต่คนที่ ๗ มองเห็น หิมะขาว จึงร้องเรียกพี่น้องทั้ง ๗ คนของเขามาดูเธอ แล้วพวกเขาก็ร้องออกมาด้วยความพิศวงและความประหลาดใจ แล้วจึงเอาตะเกียงมาส่องดูเธอแล้วกล่าวว่า “ดีแล้ว สวรรค์เอ๋ย เธอเป็นเด็กหญิงที่น่ารักอะไรเช่นนี้!”
แล้วพวกเขาก็ปีติยินดีที่ได้พบเธอ และคอยดุแลไม่ให้เธอตื่นขึ้นมา คนแคระคนที่ ๗ นอน ๑ ชั่วโมง โดยให้คนแคระแต่ละคนที่เหลือมาผลัดเปลี่ยนกัน จนกระทั่งค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไป
ในตอนเช้า หิมะขาว ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง พวกเขาจึงสงสารเธอและกล่าวว่าถ้าเธอจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นที่เป็นทาง ทำอาหาร แล้วก็ซักล้างและปั่นฝ้ายให้พวกเขา เธอก็อาจจะพักอยู่ที่นี่ได้ แล้วพวกเขาก็จะดูแลเธออย่างดี หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกไปเพื่อทำงานของพวกเขาทั้งวันคือ การค้นหาทองคำและเงินตามหุบเขาต่างๆ โดยให้หิมะขาวอยู่ที่บ้าน และพวกเขาได้เตือนเธอแล้วว่า “ไม่ช้าพระราชินีจะค้นพบว่าเจ้าอยู่ที่ไหน ดังนั้นควรระวังอย่าให้ใครเข้ามาข้างใสบ้าน”
แต่บัดนี้พระราชินีคิดว่า หิมะขาว ได้ตายไปแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นหญิงที่งดงามที่สุดในแผ่นดินอย่างแน่นอน พระองค์จึงไปที่กระจก และกล่าวว่า
“กระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าทีเถิด! ว่าหญิงใดงามเลิศในปฐพี?”
            แล้วกระจกจึงตอบว่า
“พระราชินี ท่านคือหญิงที่งามเลิศในปฐพี แต่เหมือนขุนเขาและป่าเขียวชอุ่ม ที่ซึ่งคนแคระทั้งเจ็ดคนสร้างที่พำนักอยู่ หิมะขาว ได้ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น และเธอคือผู้ที่งดงามน่ารักมากกว่า โอ พระราชินี! มากกว่าท่าน”


            พระราชินีจึงแผดเสียงเอะอะโวยวายอย่างมาก เพราะพระองค์รู้ว่ากระจกกล่าวความจริงเสมอ และมั่นใจว่าทหารรับใช้ได้ทรยศต่อพระองค์เสียแล้ว และพระองค์ก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นไว้ได้ เมื่อคิดว่าใครสักคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่จะสวยงามมากกว่าที่พระองค์เป็นอยู่ ดังนั้นพระองค์จึงปลอมตัวเป็นคนขายของคนหนึ่ง แล้วเดินทางไปยังภูเขาที่คนแคระอาศัยอยู่ แล้วพระองค์ก็เคาะประตูและร้องเรียกว่า “ของใช้ดีๆมาขายแล้ว!”
หิมะขาว มองออกมาทางหน้าต่าง แล้วกล่าวขึ้นว่า “สวัสดีหญิงคนดี ท่านมีอะไรมาขายหรือ?”
“ของใช้ดีๆของใช้สวยๆจ้ะ” เธอกล่าว
“ลูกไม้ ดิ้นเงินดิ้นทอง และกระสวยทุกๆสีเลย”
“ฉันจะให้หญิงชราเข้ามา เธอดูเหมือนว่านางจะเป็นคนดีจริงๆ” หิมะขาว คิดดังนั้นแล้วจึงวิ่งลงมาแล้วเปิดประตูออก
“คุณพระช่วย!” หญิงชรากล่าว
“ลูกไม้ที่รัดสะโพกของเจ้าทำไมแย่อย่างนี้ มาให้ข้าร้อยมันเสียใหม่ด้วยลูกไม้อันใหม่ที่สวยงามของข้าเถอะ”
หิมะขาวไม้ได้คาดคิดถึงความประสงค์ร้ายเลย ดังนั้นเธอจึงยืนข้างหน้าหญิงชรา ซึ่งนางเริ่มทำงานอย่างคล่องแคล่วว่องไวมาก แล้วก็ดึงผ้าลูกไม้แน่นมาก จึงทำให้ หิมะขาว หายใจไม่ออก แล้วล้มลงราวกับเธอได้ตายเสียแล้ว “ความงามทั้งมวลย่อมมีที่สิ้นสุด” พระราชินีผู้มีเจตนาร้ายกล่าว แล้วก็กลับมาพระราชวัง
ตอนเย็นคนแคระทั้งเจ็ดก็กลับมา ข้าพเจ้าไม่อาจจะกล่าวได้ว่าพวกเขาโศกเศร้ากันเพียงไรเมื่อเห็น หิมะขาว ที่ภักดีของพวกเขานอนหมดสติเหยียดยาวอยู่บนพื้นราวกับเธอได้สิ้นชิตแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยกเธอขึ้น และเมื่อพบว่าอะไรเป็นต้นเหตุก็ตัดเชือกลูกไม้ออก ครู่เล็กๆต่อมาเธอก็หายใจ แล้วไม่นานก็กลับสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจึงกล่าวว่า “หญิงชราคนนั้นคือ ราชินี คราวต่อไปจงระวังอย่าให้ใครเข้ามาข้างในเวลาพวกเราไม่อยู่”
เมื่อราชินีกลับมาถึงวัง พระองค์ก็ตรงไปที่กระจกของพระองค์แล้วกล่าวกับมันเหมือนที่เคย แต่แล้วก็ทำให้พระองค์แปลกใจมากที่มันยังคงกล่าวว่า
“พระราชินี ท่านคือหญิงที่งามเลิศในปฐพี แต่เหมือนขุนเขาในป่าสีเขียวชอุ่ม ที่ซึ่งคนแคระทั้งเจ็ดคนได้สร้างที่พำนักอยู่ ที่นั่น หิมะขาว กำลังซ่อนตัวของเธออยู่ที่นั่น และเธอคือผู้ที่งดงามน่ารักมากกว่า โอ พระราชินี! มากกว่าท่าน”
เลือดเย็นเฉียบในหัวใจของพระองค์ด้วยความโกรธและความพยาบาทที่รู้ว่า หิมะขาว ยังมีชีวิตอยู่ พระองค์จึงปลอมตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่แตกต่างจากที่พระองค์ใส่ในครั้งแรกนั้นมาก แล้วเอาหวีอาบยาพิษของพระองค์ไปด้วย เมื่อไปถึงกระท่อมของคนแคระ นางก็เคาะประตูแล้วร้องว่า “ของใช้ดีๆมาขาย!”
แต่ หิมะขาว กล่าวว่า “ฉันไม่กล้าให้ใครเข้ามาหรอก”
ราชินีจึงกล่าวว่า “เพียงแต่มาดูหวีอันสวยงามของข้าเท่านั้นเอง” แล้วจึงให้อันที่อาบยาพิษแก่เธอ มันดูสวยงามมาก เธอจึงเอามันไปใส่บนผมของเธอเพื่อที่จะทดลองหวีดู แต่ทันใดนั้นที่มันสัมผัสหนังศรีษะของเธอ ยาพิษที่ร้ายแรงนั้นก็ทำให้เธอหมดสติไป
“แกควรจะนอนอยู่ตรงนั้น” พระราชินีกล่าว แล้วก็เดินทางไปตามทางของนาง แต่โชคดีที่คนแคระกลับมาแต่หัวค่ำมาก และเมื่อพวกเขาเห็น หิมะขาว นอนอยู่บนพื้น พวกเขาก็คิดว่าจ้องมีอะไรได้เกิดขึ้นเสียแล้ว และไม่นานก็พบหวีอาบยาพิษ พวกเขาจึงนำมันออก เธอก็ฟื้นขึ้นมาและบอกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแก่พวกเขา พวกเขาจึงเตือนเธออีกครั้งหนึ่งว่าอย่าเปิดประตูให้กับใคร
ในเวลาเดียวกันนั้น ราชินีกลับถึงวังแล้วก็ไปที่กระจกของพระองค์ แล้วร่างกายก็สั่นเทิ้ม เมื่อพระองค์ได้รับคำตอบเหมือนกับครั้งก่อนไม่มีผิดเพี้ยน พระองค์ก็กล่าวว่า “ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ หิมะขาว ต้องตาย” ดังนั้น พระองค์จึงแอบไปที่ห้องนอน แล้วก็เตรียมแอปเปิลอาบยาพิษที่ภายนอกเต็มไปด้วยความผ่องใสยั่วยวนใจ แต่ใครก็ตามที่ชิมมันจะต้องตายอย่างแน่นอน หลังจากนั้นพระองค์ก็แต่งกายเหมือนกับแม่บ้านคนหนึ่งแล้เดินทางไปที่กระท่อมของคนแคระที่หุบเขาและเคาะที่ประตู แต่หิมะขาว โผล่ศีรษะของเธอออกมาทางหน้าต่างแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่กล้าให้ใครเข้ามาหรอก เพราะคนแคระบอกฉันไว้อย่างนั้น”
“แต่อย่างน้อยก็จงเอาแอปเปิลที่น่ากินนี้ไปเถิด ข้าจะยื่นมันให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
“ไม่” หิมะขาว กล่าว
“ฉันไม่กล้ารับมันหรอก”
“เจ้าเป็นเด็กที่เหลวไหลจริงๆ!” อีกฝ่ายตอบ
“เจ้ากลัวอะไรหรือ? เจ้าคิดว่ามันเป็นยาพิษหรือ? มาเถิด! เจ้ากินส่วนหนึ่งแล้วข้ากินอีกส่วนหนึ่ง” ขณะนี้แอปเปิลได้ถูกเตรียมไว้อย่างดีแล้วว่า ด้านหนึ่งเป็นด้านที่ดีปลอดภัย ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้นอาบด้วยยาพิษ ซึ่งยั่วยวนให้ หิมะขาว ลองชิมมันอย่างมาก เพราะแอปเปิลนั้นดูสดใสเหลือเกิน และเมื่อเธอเห็นหญิงชรากิน เธอก็ไม่อาจอดทนต่อไปได้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจาใส่ชิ้นแอปเปิลเข้าไปในปาก เธอก็ล้มลงตายอยู่บนพื้น
“เวลานี้ไม่มีอะไรจะช่วยแกได้แล้ว” ราชินีกล่าว แล้วพระองค์ก็กลับวังไปที่กระจก แล้วในที่สุดมันก็กล่าวว่า
“พระราชินี ท่านคือหญิงที่งามเลิศในปฐพี” และแล้วจิตใจริษยาของนางก็ปีติ และมีความสุขเท่าที่จิตใจเช่นนั้นจะเป็นได้
เมื่อถึงตอนเย็น คนแคระกลับมาบ้าน พวกเขาพบ หิมะขาว นอนอยู่บนพื้น และไม่มีลมหายใจผ่านริมฝีปากของเธอ พวกเขายกเธอขึ้นแล้วหวีผมและล้างใบหน้าของเธอด้วยเหล้าองุ่นกับน้ำ แต่ทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ เพราะเด็กหญิงเล็กๆนั้นดูเหมือนกับได้ตายสนิทแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงวางเธอลงบนแคร่สำหรับหามศพไปฝัง แล้วทั้งเจ็ดก็เฝ้าดูและร้องไห้คร่ำครวญถึงเธอตลอด ๓ วัน พวกเขาจึงตั้งใจว่าจะฝังเธอ แต่แก้มของเธอยังคงเป็นสีชมพู และใบหน้าของเธอก็ดูราวกับเมื่อครั้งที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงว่า

“พวกเราจะไม่ฝังเธอในพื้นดินที่หนาวเย็น”
แล้วพวกเขาก็ทำหีบศพขึ้นหีบหนึ่งด้วยแก้ว ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงมองเห็นเธอ และเขียนชื่อของเธอไว้บนนั้นด้วยตัวอักษรสีทอง สมกับที่เธอเป็นธิดาของราชา แล้วหีบศพนั้นก็ถูกวางไว้บนภูเขา ซึ่งจะมีคนแคระคนหนึ่งนั่งอยู่กับมันคอยเฝ้ายามไว้ นกแห่งท้องนภาก็มาพร้อมกันแล้วคร่ำครวญถึง หิมะขาว นกเค้าแมวมาเป็นตัวแรก และหลังจากนั้นก็นกจำพวกกา นกพิราบมาเป็นตัวสุดท้าย
นับแต่นั้นมา หิมะขาว จึงนอนหลับใหลเป็นเวลานาน นานแสนนานแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด แต่ก็เหมือนเธอเพียงแค่นอนหลับอยู่เท่านั้นเอง เพราะเธอมีผิวสีขาวเหมือนกับหิมะ แก้มแดงเหมือนกับสีเลือด และผมดำเหมือนกับไม่มะเกลือ


ในที่สุดเจ้าชายองค์หนึ่งได้เดินทางผ่านมา และร้องเรียกที่บ้านของคนแคระ แล้วก็เห็น หิมะขาว และได้อ่านสิ่งที่เขียนด้วยอักษรสีทอง หลังจากนั้นเขาก็เสนอเงินให้แก่คนแคระ แล้ววิงวอนพวกเขาอย่างจริงจังให้คนแคระอนุญาตให้เขานำเธอไป แต่พวกเขากล่าวว่า “พวกเราจะไม่ยอมพรากจากเธอ” แม้จะได้ทองคำหมดทั้งโลกนี้ก็ตาม”
แต่ในที่สุดพวกเขาก็เกิดความสงสารเจ้าชาย และได้มอบหีบศพให้แก่เขาไป แต่ทันใดที่เจ้ายกขึ้นเพื่อนำกลับวังกับเขา ชิ้นแอปเปิลก็หล่นลงมาระหว่างริมฝีปากของเธอ แล้ว หิมะขาว ก็ตื่นขึ้น และกล่าวว่า “ฉันอยู่ที่ไหนกันนี่?”
เจ้าชายตอบ่า “ท่านปลอดภัยเพราะข้าพเจ้า” แล้วหลังจากนั้นเขาก็บอกเธอถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้น แลละกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักท่านมากกว่าสิ่งใดในโลกนี้ จงไปที่วังบิดาของข้าพเจ้าด้วยกันเถิด แล้วท่านจะได้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า”
แล้ว หิมะขาว ก็เห็นดีด้วย จึงกลับวังพร้อมกับเจ้าชาย แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกเตรียมพร้อมด้วยเครื่องตกแต่งที่หรูหรา และงดงามโอ่โถงสำหรับการแต่งงานของพวกเขา
สำหรับคนแคระก็ได้รับการเชื้อเชิญด้วยเช่นกัน ส่วนราชินีศัตรูเก่าของ หิมะขาว นั้น เมื่อพระองค์ได้เสริมองค์ทรงเครื่องในชุดที่ดีที่สุดแล้วจึงมองกระจกและกล่าวว่า
“กระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าเถิด! ว่าหญิงใดงามเลิศในปฐพี?”
กระจกก็ตอบว่า “พระราชินี คือหญิงที่งามเลิศในปฐพีที่งดงามที่สุดในขณะนี้ ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา แต่ต่อไปนี้ผู้ที่งามมากกว่าคือ พระราชินีสาวคนใหม่”
เมื่อพระองค์ได้ยินดังนี้แล้ว ก็เริ่มเดือดดาลเพราะความอิจฉาริษยา แล้วความอยากรู้อยากเห็นของพระองค์ก็รุนแรงมาก จนพระองค์อดไม่ได้ที่จะออกเดินทางไปเพื่อดูเจ้าสาว และเมื่อพระองค์มาถึงจึงเห็นว่าเจ้าสาวไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจาก หิมะขาว ผู้ซึ่งพระองค์คิดว่าเธอได้ตายไปนานแล้วนั่นเอง พระองค์จึงตกใจด้วยความโลภ โกรธ หลง และล้มป่วยลงจนสิ้นชีวิต ส่วน หิมะขาว กับเจ้าชายยังมีชีวิตอยู่ และได้เป็นประมุขอยู่เหนือแผ่นดินอย่างมีความสุขอีกนานหลายๆปี

ใส่ความเห็น